Select Page

ทำบุญไม่ต้องใช้เงิน แค่กด like = บริจาค (จริงอ่ะ)

ทำบุญไม่ต้องใช้เงิน แค่กด like = บริจาค (จริงอ่ะ)

ใครๆ ก็รู้ว่า “คนไทยใจบุญ”แถมยังขี้สงสารอีกด้วย เลยไม่แปลกใจเลยว่าในสังคมออนไลน์อย่าง Facebook จะเป็นช่องทาง “บอกบุญ” ที่สำคัญ และหลายครั้งที่พลังของคนในสังคมออนไลน์ได้ช่วยเหลือคนในสังคมมานับแล้วนับไม่ถ้วน

                แต่ที่ทำให้การทำบุญเป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องออกแรง ไม่เสียเวลา และไม่ต้องใช้เงิน เพราะแค่ “ถูกใจ หรือ “กด Like” หรือ “กด Share” ก็เท่ากับได้ช่วยบริจาคเงินให้กับคนโชคร้าย

               แต่เคยสงสัยไหมว่า 1 Like หรือ 1 Share ของเรา ถูกเปลี่ยนไปเป็นเงินเพื่อนช่วยเหลือคนทุกข์จริงๆ หรือเป็นแค่การหลอกใช้ความใจบุญของเราเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น

  • ไลค์ & แชร์ มีค่าเป็นเงิน

                วิธีการทำบุญง่ายๆ บนโลกออนไลน์ที่เห็นอยู่บ่อยๆ คือ รูปถ่ายเด็กที่ป่วยหนัก  (ด้วยสาเหตุต่างๆกันไป) แล้วบอกว่า เพียงแค่เรากดไลค์หรือแชร์ จะมีองค์กร/หน่วยงาน และ Facebook จะช่วยบริจาคเงิน โดยนับจากจำนวนไลค์หรือแชร์ที่พวกเรากดกัน

               อย่างเมื่อเร็วๆ นี้มีรูปเด็กน้อยเป็นมะเร็ง โดยบอกว่า การกดแชร์รูป 1 ครั้ง จะเท่ากับเงิน 3 เซนต์ และล่าสุดเป็นภาพเด็กทารกน้อยที่ต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ โดยบอกว่า “Facebook จะบริจาคเงินให้เด็กคนนี้ 1 เหรียญสหรัฐ ทุกครั้งที่มีการแชร์ออกไป 1 Like = 1 Prayer และ 1 Share = 1$”

               ลองคิดดูว่า ถ้าเราเป็นพ่อแม่ของเด็กน้อยที่นอนป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาลจะรู้สึกอย่างไร ถ้ามีใครสักคนบอกว่า เป็นคนใจบุญพร้อมจะให้ความมช่วยเหลือเป็นจำนวนเงินไม่อั้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งในการแชร์หรือการไลค์ของคนในชุมชนออนไลน์

               นี่เท่ากับว่า เป็นการใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเดิมพัน ใช้เด็กน้อยที่น่าสงสารเป็นเครื่องต่อรอง

               นอกจากนี้ ยังไม่มีคำตอบว่า…

               ถ้าเป็นการแชร์ต่อๆ กันมา จะนับจำนวนการแชร์อย่างไร

               ถ้าเราเซฟรูปไว้แล้วไปแชร์ต่ออีกทีจะนับว่าเป็นการแชร์ต่อหรือไม่

               ถ้าเรากดไลค์ที่เพื่อนแชร์มาจะเข้าเงื่อนไขของคนที่บริจาคเงินหรือไม่

               หลังจากที่เรากดไลค์และแชร์ออกไปแล้ว พวกเขาจ่ายเงินกันอย่างไร จ่ายไปเมื่อไหร่

               ที่สำคัญคือ Facebook ไม่มีนโยบายที่จะบริจาคเงินโดยอ้างอิงจากจำนวนการกดไลค์หรือแชร์รูปภาพพวกนี้ และเท่าที่ค้นข้อมูลพบว่า โครงการเพื่อการกุศลที่ Facebook ทำอย่างเป็นทางการคือเป็นเครือข่ายสำหรับคนที่บริจาคอวัยวะ (ในสหรัฐและสหราชอาณาจักร) ซึ่ง มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook ลงมาเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้เอง

               ในหน้า Facebook (ในสหรัฐและสหราชอาณาจักรป จะปฺดพื้นที่ให้สมาชิกสามารถแสดงตัวว่าเป็นผู้บริจาคอวัยวะและอธิบายเพิ่มเติมได้อีกด้วยว่า ทำไมเราถึงตัดสินใจบริจาคอวัยวะ

                เพราะฉะนั้น ก่อนจะตัดสินใจคลิกไลค์หรือกดแชร์ ควรจะใช้วิจารณญาณกันสักนิดว่ามันเข้าข่ายหลอกลวงหรือไม่

ในบ้านเราอาจจะยังไม่มี “คนขุดคุ้ย” กันอย่างจริงจัง แต่ในต่างประเทศมีเว็บไซต์ที่เปิดตัวมาเพื่อไล่ล่าหาความจริงว่าในบรรดาภาพที่แชร์กันออกมามีความจริงเป็นอยู่ในนั้นบ้างหรือไม่ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เป็นการ “หลอกลวง” (หรือที่พวกเขาเรียกว่า Facebook Hoaxes)

นักไล่ล่าความจริงกลุ่มนี้สรุปว่า คนที่ทำรูปหลอกลวงพวกนี้มักจะเป็น “คนขี้เหงา” ไม่มีเพื่อน ก็เลยหาความสนุกใส่ตัว โดยอาศัยความทุกข์ยากและความใจบุญของคนอื่น

คนที่ทำรูปพวกนี้จะขโมยรูปมาจากในโลกออนไลน์นี่แหละ โดยที่บางรูปเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งบางคนหายจากอาการป่วยนั้นแล้ว และโชคร้ายที่บางคนเสียชีวิตไปแล้ว (ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าพ่อแม่ของเด็กน้อยเหล่านั้นมาเห็นรูปของลูกเองในลูกเองในโลกออนไลน์จะได้รับกำลังใจหรือจะยิ่งซ้ำเติมความเศร้าให้มากขึ้น)

                 หลังจากสร้างเรื่องขึ้นมาแล้ว พวกคนลวงแชร์รูปภาพออกไป แล้วก็นั่งรอนับจำนวนแชร์และหัวเราะเยาะอย่างสะใจ

                 อย่างไรก็ตาม “การกดไลค์ได้บุญ” ไม่ได้มีแต่เรื่องลวงโลกเท่านั้น เพราะก่อนหน้าที่บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่หลายแก่งเคยนำ “กลยุทธ์” ที่เล่นกับความใจบุญของคนไทยมาใช้ทำการตลาดกันบ้างแล้ว เมื่อครั้งการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือเหยื่อสึนามิที่ญี่ปุ่น

                 บริษัทเหล่านี้จะกำหนดเงื่อนไขการบริจาคเงินเอาไว้ โดยขึ้นอยู่กับจำนวนคนมากดไลค์ใน Fan Page ของบริษัท มีตั้งแต่

                 1 Like = 10 เยน

                 1 Like = 15 เยน

                 1 Like = 3 บาท

                 1 Like = 5 บาท

                 แบบนี้ยืนยันได้เลยว่า กดไลค์ได้บุญแน่ๆ แต่ยังมีคำถามตามมาอีกว่า “เหมาะควร” หรือไม่ ที่บริษัทต่างๆ เหล่านี้จะใช้วิธีการนี้ เพราะถ้าคิดบวก ก็เท่ากับว่า Win-Win ด้วยกันทั้งคู่ คนกดไลค์ได้บุญ บริษัทก็ได้ Fan Page เพิ่มขึ้น แต่ถ้าคิดลบ ก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคนกดไลค์ที่คิดว่าได้ทำบุญโดยไม่เสียอะไรเลย มันไม่เสียอะไรจริงหรือเปล่า
                 เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป ถ้าเจอรูปภาพหรือข้อความที่แชร์ต่อๆ กันมา แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นการหลอกลวงหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญในการขุดคุ้ยความจริงอย่างที่พวกเขาทำ ก็เพียงแค่ “ไม่ไลค์และไม่แชร์” ก็เพียงพอแล้วที่จะหยุดพฤติกรรมลวงโลกเหล่านี้
แม้ว่าเราจะคิดว่า ก็แค่ไลค์ ก็แค่แชร์ ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะอย่างน้อยเป็นการ “แสดงออก” ถึงความเห็นอกเห็นใจ ความมีน้ำใจ แต่ความใจบุญของเราจะกลายเป็นเครื่องมือให้กับคนลวงพวกนี้ เพราะเมื่อเราไลค์หรือแชร์ เพราะเราจะเห็นและเข้ามาช่วยไลค์ช่วยกันแชร์ต่อไปจะไม่จบสิ้น

  • กดไลค์ ใครได้ประโยชน์

               ลองไปอ่านเงื่อนไขการใช้ปบริการของ Facebook แบบคร่าวๆ เห็นว่า Facebook ห้ามเจ้าของ Page นำข้อมูลคนที่กดไลค์ไปขายต่อ แต่มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าของ Page บาง Page หาประโยชน์ทางธุรกิจจากคนที่เข้ามากดไลค์และแชร์

              แต่คนที่ตั้งข้อสังเกตและเปิดโปงพฤติกรรมของ Page บาง Page ได้ดึงดูดมากที่สุกน่าจะเป็น Page ที่ชื่อว่า “รอบหน้าจริงกว่านี้อีก” (Truthnextround) โดยการสื่อด้วยรูปที่ชื่อว่า “วิธีหากินของบาง Page” และรูป “กำลังใจ” เพื่อสื่อว่าบาง Page มักจะนำภาพหลุดดารา เด็กป่วยเป็นโรค น่าสงสาร การทำบุญ และภาพทหารใต้ มาขอให้กดไลค์ กดแชร์ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่า

             และ Page บาง Page ก็ทำแบบนั้นจริงๆ ไม่เชื่อลองกลับไปดูใน Fagebook ของตัวเองดูว่า มีเพื่อนกี่คนที่กดไลค์เป็น Fan Page กดแชร์รูปภาพในลักษณะนี้ที่ต่อท้ายด้วยประโคสั้นๆ ว่า “ขอ 1 Like เพื่อ…” จนทำให้จำนวนคนที่เข้าไปไลค์ ไปแชร์ มากมายมหาศาล แต่แล้ววันดีคืนดีกลับมีการโฆษณาขายสินค้า ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ Page สักนิด

            จริงๆ แล้ว Page ที่มีอยู่นับไม่ถ้วนใน Fagebook มีอยู่ไม่น้อยเลยที่เป็นประโยชน์ เพราะหลาย Page ให้แง่คิดมุมมองที่ดี ซึ่งถ้าเป็นนักลงทุนจะรู้ว่ามีอยู่หลาย Page ที่น่าสนใจ เหมาะอย่างยิ่งที่จะไปเป็นแฟน ไม่เชื่อลองเข้าไปดู Page เหล่านี้ดู

            Stcok2morrowFB

            SinthornVista

            pawawitstockcomment

           settradeclub

           mangmaoclub

           SinthornCafe

           FundManagerTalk

           ThinvestForum

           รับรองว่ากดไลค์และจะได้รับความรู้เยอะ

          นอกจากนี้ ที่ต้องระมัดระวังให้มากคือ บรรดา App เฮฮาทั้งหลาย เพราะก่อนจะได้ใช้บริการเราต้องยอม “เสียสละ” ให้เจ้าของ App เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเราได้ สามารถโพสต์ข้อความแทนเราได้และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะสามารถเชื่อมโยงมาถึง “ธุรกรรมการเงินออนไลน์” ได้ด้วยหรือไม่ เพราะฉะนั้นระวังไว้สักนิดก็คงจะดี

          จริงๆ (อีกครั้งหนึ่ง) ธุรกิจเล็กๆ ใช้ Facebook ให้เป็นประโยชน์ เพราะนอกจากจะเป็นช่องทางการเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น สามารถติดต่อกับลูกค้าได้รวดเร็ว และที่สำคัญระบบของ Facebook ยังออกแบบมาเพื่อช่วยให้การทำธุรกิจบน Facebook ง่ายขึ้นด้วย โดยเฉพาะการเก็บข้อมูล “ลูกค้าตัวจริง” ที่มากดไลค์เป็น Fan Page เพื่อให้ส่งข่าวสารถึงข่าวสารได้ทุกเวลา

  • กดไลค์ได้เงิน!?!

เคยเห็นรูปหนุ่มหล่อ-สาวสวยถือเงินเป็นฟ่อนแล้วบอกว่า เขาหรือเธอร่ำรวยได้ง่ายๆ โดยการทำงานผ่านอินเตอร์เน็ตและ Facebook จริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ “คนที่รวยง่าย” และ “รวยเร็ว” แทบจะเดินชนกันตั้งแต่เริ่มรู้จักการส่งอีเมลชักชวนเราไปทำธุรกิจที่ “สุดยอด” (เกินจริง)

ถ้าเราไม่ได้สนใจอยากรวยง่าย รูปภาพพวกนนั้นก็ทำได้แค่สร้างความรำคาญ มองแล้วก็ผ่านไป แล้วภาวนาว่าอย่าให้ใครตกเป็นเหยื่อการหลอกลวง

นอกจากนี้  ยังมีอีกธุรกิจหนึ่งที่เกิดมาเพื่อคนชอบ Facebook คือ “กดไลค์ได้เงิน” ซึ่งเริ่มเห็นการโฆษณาเชิญชวนกันบ้างแล้ว แต่ยังไม่อู้ฟู่เท่ากับสมัยหนึ่งที่มีธุรกิจ “อ่านเมลแล้วได้เงิน” ซึ่งคาดว่าหลักการคงไม่ต่างกัน คือ เป็นการรับจ้างไปกดไลค์ใน Page ต่างๆ เพื่อให้ Page พวกนั้นเหมือนมีสมาชิกจำนวนมาก และ Page พวกนั้นก็นำจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ไปหาประโยชน์ทางธุรกิจต่อไป

แต่ไม่มีใครยืนยันได้ว่า จะได้เงินจริงๆ หรือไม่และธุรกิจประเภทรับจ้างไลค์แบบนี้จะถูกกฎระเบียบของ Facebook หรือไม่ เพราะฉะนั้นอย่าได้ไปหวังรวยง่ายๆ จากการกดไลค์

               แล้วเก็บไลค์และแชร์ที่มีค่า (แม้ว่ามันจะง่าย) ของเราไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นจะดีกว่า

 

               หุ้น Facebook, Inc. (FB) เข้าซื้อขายในตลาด Nasdaq ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2555 ราคา IPO หุ้นละ 38 เหรียญสหรัฐฯ มูลค่าตลาดมากกว่า 1.04 แสนล้านเหรียญสหรัฐราคาล่าสุดเหลือ 20.04 เหรียญสหรัฐฯ (วันที่ 2 ส.ค. 2555) ลดลงไปแล้ว 17.96เหรียญสหรัฐ หรือ 47.26%

               ถ้ามีข่าวลือว่า Facebook จะเรียกเก็บค่าบริการยังจะมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะหลังจาก Facebook, Inc. (FB) เข้าซื้อขายในตลาด Nasdaq เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2555 ราคาหุ้น IPO หุ้นละ 38 เหรียญสหรัฐ มูลค่าตลาดมากกว่า 1.04 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และทำให้มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีใหม่ของโลก

               แต่นับจากวันนั้นจนกระทั่งวันนี้ ราคาหุ้น Facebook ยังไม่เคยขึ้นไปเกินราคา IPO แถมยังดิ่งลงแบบที่ไม่รู้ว่าจะหยุดที่ตรงไหน โดยเฉพาะหลังประกาศ “ขาดทุน” ในผลประกาบการไตรมาส 2 ปี 2555

               ราคาล่าสุดเหลือ 20.04 เหรียญสหรัฐ (วันที่ 2 ส.ค. 2555) ลดลงไปแล้ว 17.96เหรียญสหรัฐ หรือ 47.26% จนทำให้มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์กหลุดจากกลุ่ม 10 อันดับแรกของมหาเศรษฐีในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไปเรียบร้อยแล้ว

               เพราะฉะนั้น  เชื่อว่าผู้บริหารของ Facebook คงไม่ยอมให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ และต้องหารทางเพิ่มรายได้ใหม่ๆ เข้ามา เพื่อไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวัง และคงไม่ปล่อยให้นักลงทุนที่รัก Facebook ซื้อหุ้นตั้งแต่ IPO กลายเป็นแมลงเม่านอนเหงาๆ อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นแน่

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2555 หน้า A3

 

About The Author

aof

Leave a reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.