Select Page

กลางสายฝน

กลางสายฝน

guide-posting

ใครๆ มักจะเบื่อหน้าฝน เพราะเดินทางไปไหนก็ลำบาก เฉอะแฉะ แถมยังมีสูตรตายตัวว่า ฝนตกรถติด แต่ดิฉันกลับชอบหน้าฝน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหน้าร้อน
เรื่อง: สายสวรรค์ ขยันยิ่ง
ที่มา: งานเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร FAME ปี 2550
ขณะที่นั่งพิมพ์ต้นฉบับให้ FAME อยู่นี้ ฝนกำลังกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่ค่ะ ลมมเย็นชื้นพัดเข้ามาในบ้านเป็นจังหวะ พอให้สูดเข้าปอดได้ และไม่ร้อนอบอ้าว กลิ่นกาแฟในถ้วยเซรามิกใบโตก็หอมฉุย เชื้อเชิญให้ดื่มไปพิมพ์งานไป บรรยากาศอย่างนี้ล่ะค่ะ ทำให้คนอยู่ติดบ้านมากขึ้น และก็เป็นเวลาให้ครุ่นคิด ไตร่ตรอง หรือแม้แต่จินตนาการ สร้างผลงานดีๆ ออกมาได้ง่าย (ถ้าไม่หลับอุตุอยู่ด้วยความขี้เกียจ)
ดิฉันเคยให้สัมภาษณ์นิตยสารเล่มหนึ่งไปในหัวข้อ “มุมมองดีๆ ของหน้าฝน” ก็เลยมาชวนคุณผู้อ่าน FAME ช่วยกันคิดสนุกๆ บ้างนะคะ ใครๆ มักจะเบื่อหน้าฝน เพราะเดินทางไปไหนก็ลำบาก เฉอะแฉะ แถมยังมีสูตรตายตัวว่า ฝนตกรถติด แต่ดิฉันกลับชอบหน้าฝนแฮะ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหน้าร้อน ซึ่งเนื้อตัวเราจะเหนียวเหนอะหนะ ออกไปไหนก็เหงื่อไหลไคลย้อย สวมเสื้อผ้าหนาหน่อยก็จะตายเสียให้ได้ เป็นนักข่าวออกไปทำข่าวหรือรายงานสดนอกสถานที่ ก็จะร้อนตับแทบแตก เมคอัพออกไปสวยเด้งเจอแดดแป๊บเดียวก็เละหมด ไม่ต้องมาบอกนะคะว่ามีเครื่องสำอางแบบกันแดดกันน้ำอะไร ดิฉันไม่เคยประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะบริเวณเหนือริมฝีปาก ชอบมีเหงื่อมากมายผุดออกมาเหมือนเขื่อนแตก คนอื่นเขาไม่ค่อยเป็นกัน เห็นมีแต่เหงื่อออกหน้าผากกันมากกว่า คือถ้าเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากหรือขมับสองข้างเนี่ย มันก็จะไหลลงมาตามกรอบหน้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยใช่ไหมคะ สมมุติว่าเมคอัพจะเลอะหลุดมันก็จะเป็นบริเวณด้านข้างของใบหน้า มีบ้างที่ไหลลงมากลางหน้าผากจริงๆ ก็แค่ยกกระดาษซับหน้าขึ้นซับหน้าผากด้วยกริยาอาการที่ดูดีก็คงไม่มีใครถือสา แต่ไอ้การที่เหงื่อออกเหนือริมฝีปากแบบดิฉันเนี่ยมันจะเริ่มจากเม็ดเหงื่อซึมขึ้นมาก่อน เจอแสงสปอตไลท์ก็จะเป็นเงาสะท้อนชวนให้เห็นเป็นหนวด พอซึมออกมามากเข้าก็กลายเป็นเขื่อนแตกทะลักเข้าปาก ครีมรองพื้นยี่ห้ออะไรก็เอาไม่อยู่หลุดไหลเลอะเทอะมาที่ริมฝีปาก ยกมือขึ้นซับก็เป็นอุปสรรคในการพูด ทำให้ต้องหาจังหวะหยุดเพื่อซับเหงื่อ เฮ้อ! นี่แหละค่ะ คือปัญหาหนึ่งของดิฉันยามหน้าร้อน แม้เดี๋ยวนี้จะไม่ได้รายงานข่าวกลางแดดแบบนั้นแล้ว และงานพิธีกรที่รับอยู่ส่วนใหญ่จะอยู่ในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดิฉันหันมารักหน้าร้อนเลย ถ้าไม่มีหน้าร้อนตลอดไปเลยดิฉันก็จะเป็นคนหนึ่งที่มีความสุขมาก ซึ่งก็ได้แต่คิดเพ้อเจ้อ เพราะนับวันหน้าร้อนยิ่งจะมาเร็วและยาวนานขึ้นในแต่ละปี ด้วยภาวะโลกร้อนนี่แหล่ะ
แล้วหน้าหนาวล่ะเป็นอย่างไร ดิฉันเป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด เกิดในภูมิภาคที่เคยชินกับความหนาวมาก่อน ก็รู้สึกว่าความหนาวเย็น(แบบประเทศไทย) เป็นเรื่องธรรมดา สมัยเด็กหน้าหนาวที่เชียงรายหนาวกว่าปัจจุบันหลายเท่า แม่เล่าให้ฟังว่าเวลาคุณยายพาไปเที่ยวงานฤดูหนาวประจำปี ยายจับใส่เสื้อกางเกงหลายชั้นมาก จนแขนขางอไม่ได้เลย แถมด้วยหมวกไหมพรมกับถุงเท้าครบชุด อุ้มกระเตงออกจากบ้านไปเหมือนยายอุ้มตุ๊กตา พวกนางงามที่เดินประกวดในงานฤดูหนาวถึงแม้จะไม่ได้แต่งตัวโป๊มาก แต่กางเกงหรือกระโปรงสั้นๆ ก็ทำให้พวกเธอทรมานอยู่ไม่ใช่น้อย ดิฉันยังจำติดตาว่าเวทีประกวดนางงามฤดูหนาวที่ส่วนใหญ่จะทำทางเดินเป็นสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ ตรงกลางจัดวางเก้าอี้สำหรับกรรมการและผู้ชมนั้น จะมีเตาอั้งโล่ติดไฟวางไว้เป็นระยะตามทางเดินนางงามด้วย คลาสสิคมากค่ะ เรื่องพวกนี้แทบจะกลายเป็นตำนานแล้ว เพราะฤดูหนาวทางเหนือเดี๋ยวนี้แทบจะไม่ต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ อีกต่อไป
สำหรับหน้าฝนก็มีคนไม่ชอบเยอะ ประเภทแรกก็คือพวกรักรถ ชอบล้างรถให้สะอาดเอี่ยมอ่องขัดเงาให้มันปลาบขับไปไหนจะรู้สึกเท่มากกว่าคนอื่น ซึ่งก่นด่าเทวดากันประจำว่าล้างรถทีไร ฝนตกทุกที เทวดาได้ยินคงร้อง อ้าว…ก็นี่มันหน้าฝนนี่หว่า รู้แล้วยังจะล้างรถกันบ่อยอะไรนักหนา คนที่เล่นรถโบราณเป็นมนุษย์อีกกลุ่มที่เซ็งจิตทันทีที่ฝนตก เพราะความเก่าคร่ำคร่าของมันทำให้เอาออกมาขับได้เฉพาะวันที่อากาศดีเท่านั้น ไม่ต้องใครอื่นเลยค่ะ ดิฉันเองก็เคยนั่งรถโบราณที่คุณผู้ชายที่บ้านคลั่งไคล้มาก่อน นั่งๆไปฝนตกก็ถูกใช้ให้ซับน้ำที่เล็ดลอดเข้ามาตามกระจกหน้าต่าง ร้ายกว่านั้นก็คือเคยเครื่องตายกลางถนนเพราะขับฝ่าน้ำท่วมด้วย อยากเสกให้รถมันกลายเป็นเรือไปเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอด สุดท้ายก็ขายมันไปหลายปีแล้วค่ะ เหลือแต่ตำนานรถโบราณประจำครอบครัว ส่วนแมสเซนเจอร์กับมอเตอร์ไซค์รับจ้างนั้นน่าเห็นใจที่สุด ต้องจอดรถกันอยู่ใต้สะพานลอย หรือใต้ทางด่วน ฝนตกนานแค่ไหนก็ขาดรายได้กันมากเท่านั้น
ถึงอย่างไรดิฉันก็รักหน้าฝนอยู่ดีแหล่ะ เพราะรู้สึกว่าหน้าฝนเป็นฤดูกาลแห่งความสงบนิ่ง อาจจะลำบากอยู่บ้างเวลาเดินทางไปทำงานนอกบ้าน แต่เมื่อยกเว้นเวลาเดินทางแล้วละก็ ดิฉันชอบความรู้สึกที่เหมือนเราเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ถูกเทวดาขำระล้างความสกปรก ซึ่งเราได้แต่เป็นฝ่ายรับการชำระล้างนั้นโดยมิอาจขัดขืน ลดอัตตาลงไปอยู่ในระดับเดียวกับสิงสาราสัตว์ และพืชพันธุ์ทั้งหลายที่ชูช่อรอรับน้ำฝนเพื่อเติบโตงอกงาม บางทีเทวดาก็อวยชัยให้พรด้วยการโปรยฝนเม็ดเล็กเบาบางลงมาเหมือนประพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่บางทีเทวดาก็ไม่รู้อารมณ์เสียอะไรถึงได้เทกระหน่ำฝนเม็ดใหญ่ลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา พร้อมกับร้องคำรามกึกก้อง ส่งสายฟ้าฟาดลงมาอย่างน่าสะพรึงกลัว หรือว่าตอนนั้นเทวดาเห็นความชั่วร้าย ความสกปรก โฉดเขลา น่ารังเกียจบนโลกใบนี้ ก็เลยอยากชำระล้างเสียให้สะอาดหมดจด เมื่อฝนยังล้างไม่พอก็ส่งพายุใหญ่ แผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์แบบครบชุดมาปรามมนุษย์ให้อยู่หมัดเป็นคราวๆ ไป โถ… เทวดาขา ป่านนี้ท่านคงรู้แล้วว่ายังไม่ได้ผล เพราะมนุษย์ผู้ประเสริฐตัวเล็กๆ นับพันล้านคนทั่วโลกนี้มันแสบสันต์นัก หลงใหลมัวเมาในอำนาจ ชื่อเสียงเงินทอง และวัตถุนานาชนิด แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันด้วยความอยากได้ใคร่ดี โลภโมโทสันต์ไม่รู้จักหยุดหย่อน ไม่เคยรู้จักคำว่า “พอ” จนเป็นที่มาของการข่มเหงรังแกคนที่ด้อยกว่า รุกรานก้าวก่ายทำลายธรรมชาติแบบไม่รู้สึกผิดอะไร นี่แหล่ะโลกมนุษย์ ไม่รู้ว่าเทวดาเบื่อจนคิดจะเลิกยุ่งกับพวกเรา หรืออาจกำลังระดมสมองหาวิธีสั่งสอนมนุษย์ให้หนักหนาขึ้น !

About The Author

1 Comment

  1. kate-kate

    เรื่องน่าสนใจมากค่ะ
    แต่เสียอย่างเดียวควรมีการเว้นวรรคตอนมากกว่านี้
    เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านข้อความที่ยาวๆจะได้ไม่ปวดตาค่ัะ

Leave a reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.