
ความสง่างามของสนามหลวงยุคใหม่

สนามหญ้าเขียวขจี ที่ติดตั้งระบบรดน้ำอัตโนมัติด้วยการสูบน้ำมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ดูสวยงามน่านั่งพักผ่อนหย่อนใจ เป็นหนึ่งในภาพลักษณ์ใหม่ ของท้องสนามหลวง ไม่นับการตกแต่งรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายอย่างแม้กระทั่งม้านั่งสาธารณะ ที่ทำให้สนามหลวงดูสง่างามขึ้นมากโข แต่หากจะให้สนามหลวงเป็นสถานที่”สวยแต่รูปจูบไม่หอม” ก็คงไม่คุ้มค่ากับงบประมาณเกือบ 200 ล้านบาท กรุงเทพมหานครจึงวางกฎ กติกา การบริหารจัดการพื้นที่สนามหลวงอย่างครบวงจรด้วย
เรื่อง: สายสวรรค์ ขยันยิ่ง
ภาพ: กองประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานคร ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสนามหลวงโดยตรง ได้เริ่มดำเนินโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ สภาพแวดล้อม และปัญหาสังคม ในพื้นที่สนามหลวงและปริมณฑล มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2552
ใครที่จำข่าวการย้ายนกพิราบกว่า 2 หมื่นตัว ที่เคยมากินอาหารจากคนที่ซื้อเลี้ยงมันที่สนามหลวง ออกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมนอกเมือง เมื่อปีกลายได้ นั่นแหล่ะค่ะ คือแผนแรกๆ ของโครงการปรับภูมิทัศน์สนามหลวงแห่งนี้ เมื่อนกพิราบไม่มี (หรือจะมีกลับมาบ้างก็เป็นไปตามธรรมชาติ ที่มาแล้วก็ไป ไม่ได้อยู่ประจำเป็นฝูงใหญ่เหมือนก่อน) จากนั้นก็ออกกฎห้ามจำหน่ายอาหารนกพิราบ รวมถึงห้ามจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ที่กำหนด ก็เป็นการจัดระเบียบผู้ค้าหาบเร่แผงลอยไปในคราวเดียวกัน
ผู้ค้าที่อาศัยสนามหลวงเป็นที่ทำมาหากินมานาน หากไม่มีที่ไปก็คงไม่พ้นต้องฝืนกฎ กทม.จึงรับมือด้วยการจัดพื้นที่ให้ข้ามฝั่งไปค้าขายกันริมคลองหลอดแทน และเตรียมปรับภูมิทัศน์ให้คลองหลอดสวยงามกว่านี้ แต่เท่าที่ประเมินมาร่วมปี ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ดูแลโครงการนี้มาตั้งแต่ต้น บอกว่าผู้ค้าก็สามารถค้าขายได้เป็นที่น่าพอใจ แต่ กทม.ก็จะพัฒนาบริเวณริมคลองหลอดให้เป็นถนนคนเดิน เชื่อมต่อไปยังถนนราชดำเนิน และสนามหลวง พระบรมมหาราชวัง ฟังดูแล้วอดนึกภาพตามไม่ได้ว่าจะคลาสสิคขนาดไหน (ถ้าไม่มีรถเมล์ไร้มาตรฐานมาพ่นควันดำโขมงใส่นะคะ)
ที่ผ่านมาสนามหลวงเป็นพื้นที่เปิด เรียกว่าเปิดกันทั้งวันทั้งคืน จึงไม่พ้นเป็นที่อาศัยหลับนอนของคนจรจัด คนไร้บ้าน เบื่อบ้าน หรือขอทาน ไปจนกระทั่งผู้ขายบริการทางเพศ ที่อาศัยมุมมืด หรือร่มเงาใต้ต้นมะขามเก่าแก่รายรอบสนามหลวงเป็นแหล่งนัดพบ ร้ายถึงขั้นหามุมขายบริการกันได้แบบที่นึกไม่ถึง เหล่านี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่ กทม. ยอมรับว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้เองเพียงลำพัง จึงต้องร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการใช้กฏหมายเข้ามาจับปรับดำเนินคดีอย่างเข้มงวด และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้ามามีบทบาทในการฟื้นฟูเยียวยาคนไร้บ้าน คนหนีออกจากบ้านบ้าน คนด้อยโอกาส ให้มีที่พักพิง ซึ่งเตรียมสร้างที่พักถาวรให้ที่เขตสายไหม และขอความร่วมมือการทางพิเศษแห่งประเทศไทย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรมธนารักษ์ และการรถไฟแห่งประเทศไทย ช่วยหาพื้นที่รองรับเพิ่มเติมด้วย ที่ต้องให้เครดิตอย่างยิ่งอีกกลุ่มหนึ่งคือองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ NGO ที่เข้ามาดูแลคนเร่ร่อน จรจัด ในพื้นที่สนามหลวงที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างดี โดยเฉพาะข้อมูลต่างๆ ที่เขาเก็บรวบรวมมานานแล้ว ดร.ธีระชน ยังกล่าวถึงความสำเร็จของการผลักดันขอทานต่างด้าวที่เข้ามาหากินในพื้นที่สนามหลวงกลับประเทศเพื่อนบ้าน โดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกแรงช่วยเต็มที่
อีกปัญหาหนึ่งที่คู่กันมากับสนามหลวงก็คือปัญหาอาชญากรรม ฉกชิงวิ่งราว โดยเฉพาะในยามวิกาล ที่บางครั้งประชาชนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมาต่อรถโดยสารตามป้ายรถเมล์ หรือเดินลัดเลาะข้ามสนามหลวง โครงการปรับภูมิทัศน์สนามหลวงครั้งนี้จึงซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ติดตั้งรอบสนามหลวง และจัดจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เข้าเวรยามกันตลอด 24 ชั่วโมง ถึงแม้ฟังดูแล้วอุ่นใจขึ้น แต่ กทม.ก็ยังกำหนดเวลาเข้าใช้สนามหลวงอีกด้วย จากที่ไม่เคยกำหนด คราวนี้เปิดใช้ตั้งแต่เวลา 05:00 น.- 22:00 น. หลังจากนั้นก็ปิดรั้วกั้นเรียบร้อย เว้นแต่ถนนเส้นที่ตัดผ่ากลางสนามหลวงซึ่งขยายให้กว้างขวางกว่าเดิม และยังเปิดให้เดินผ่านได้ตลอดเวลาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องเดินข้ามฝั่งไปมา
สนามหญ้าเขียวขจีนี้ รองผู้ว่าฯธีระชน บอกว่าติดตั้งระบบรดน้ำอัตโนมัติเป็นเวลา โดยสูบน้ำมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา และวางระบบระบายน้ำให้ดีกว่าเดิม ตอนออกแบบครั้งแรกจะปูกระเบื้องทางทิศเหนือของสนามหลวงสำหรับใช้ประโยชน์พื้นที่ที่ต้องการความแข็งแรง แต่กรมศิลปากรแนะนำให้เป็นสนามหญ้าเต็มพื้นที่เพื่อความสวยงาม ประกอบกับการขึ้นทะเบียบสนามหลวงเป็นโบราณสถานแล้ว กทม.จึงใช้กฏหมายบริหารจัดการ ให้สนามหลวงใช้เป็นสถานที่สำหรับการจัดพระราชพิธี รัฐพิธี หรือพิธีสำคัญทางศาสนาและศิลปวัฒนธรรม เช่นการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวนมากๆ และประเดิมการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2554 เป็นงานแรกหลังจากเปิดใช้สนามหลวงยุคใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2554 และเตรียมฟื้นเทศกาลแข่งขันว่าวขึ้นมาในฤดูกาลเล่นว่าว เพื่อให้บรรยากาศการที่มีครอบครัวมานั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจ เตรียมอาหารมาปิคนิค มาเล่นว่าวกันที่ท้องสนามหลวงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ต้องจับตากันต่อไปว่าสนามหลวงยุคใหม่จะมีการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหนอย่างไร แต่ที่สำคัญคือ หากคนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าของเงินภาษี ไม่ช่วยกันรักษาและหวงแหนดูแลสนามหลวงให้สมกับที่เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย งบประมาณจำนวนมากที่ใช้ไปในการปรับปรุงภูมิทัศน์สนามหลวงและปริมณฑลครั้งนี้คงสูญเปล่าไปอย่างน่าเสียดาย