
“ครั้งแรกของไทย ศิริราชพบวิธีเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวน”

สำหรับการรักษาวิธีใหม่นี้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯทำการรักษาผู้ป่วยไปแล้ว 2 ราย นับเป็นผู้ป่วย 2 รายแรกของประเทศไทย และเดือนมีนาคมนี้ จะมีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาเพิ่มเติมอีก 3 ราย อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการใส่ลิ้นหัวใจเทียมแบบใหม่ผ่านสายสวน ยังคงมีราคาแพง ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลจึงจัดตั้งกองทุน เพื่อผู้ป่วยสูงอายุ เปิดรับบริจาคเงินนำมาซื้อลิ้นหัวใจให้ผู้ป่วยสูงอายุที่ยากไร้ 
เมื่อววันพฤหัสบดีที่ 11 ก.พ. 53 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล จัดแถลงข่าว“ครั้งแรกของไทย ศิริราชใส่ลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวน โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่” โดยมี ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เป็นประธาน ร่วมด้วย ศ.นพ.ศุภกร โรจนนินทร์หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ ผศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ แพทย์ประจำสาขาวิชาศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ ผศ.นพ.สุวัจชัย พรรัตนรังสี แพทย์ประจำสาขาวิชาหทัยวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์และนางนิภา หิรัญบำรุง ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคลิ้นหัวใจตีบ ณ ห้องประชุมคณะฯ ตึกอำนวยการ ชั้น 2 รพ.ศิริราช
ศ.นพ.ศุภกร โรจนนินทร์ หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ กล่าวว่า จากความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข ทำให้โรคต่างๆ ที่เมื่อก่อนคนเราคิดว่ารักษาไม่ได้ กลับหายขาดรอดชีวิต ทั้งยังช่วยลดอัตราการเกิดโรคแทรกซ้อน เป็นผลให้จำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกและประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยมีผู้สูงอายุถึง 11% จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ ฉะนั้นการดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและคงไว้ซึ่งภาวะสุขภาพที่ดีนับเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทางที่ถดถอย เช่น เลนส์ตาเสื่อมกลายเป็นต้อ ข้อเข่าเสื่อม หรือแม้กระทั่งโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ โดยเฉพาะลิ้นหัวใจเสื่อม เกิดการตีบขึ้น ในอดีตมักพบว่าโรคลิ้นหัวใจตีบเกิดจากโรครูห์มาติก ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอายุไม่มาก แต่ในปัจจุบันโรคนี้มักเกิดจากการเสื่อม สภาพของลิ้นหัวใจ ยิ่งผู้ป่วยมีอายุมากขึ้นเท่าไร อุบัติการณ์ของโรคลิ้นหัวใจตีบก็จะสูงขึ้นเท่านั้น โรคนี้ถือเป็นภัยเงียบ เนื่องจากลิ้นหัวใจตีบเพียงเล็กน้อย จะไม่แสดงอาการใดๆ เลยในระยะแรกจนกว่าหัวใจไม่สามารถทนรับกับปริมาณเลือดที่เพิ่มสูงขึ้น จะทำให้เกิดอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวตามมา และอาจเสียชีวิตในที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
ผศ.นพ.สุวัจชัย พรรัตนรังสี แพทย์ประจำสาขาวิชาหทัยวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์กล่าวว่า ลิ้นหัวใจ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของหัวใจ ในขณะที่หัวใจกำลังบีบตัว เมื่อเลือดไหลผ่านออกไป ลิ้นหัวใจจะปิดไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับมา จึงทำหน้าที่เสมือนประตูปิด – เปิด ควบคุมให้เลือดในหัวใจไหลไปทิศทางเดียวสู่ปอดเพื่อฟอกออกซิเจนแล้วไหลกลับสู่ระบบโลหิตอีกครั้ง เมื่อมีปัญหาของลิ้นหัวใจรั่ว เลือดจะไหลย้อนกลับมา แต่ถ้าลิ้นหัวใจตีบ เลือดจะไหลผ่านลิ้นหัวใจได้ลำบาก ในผู้สูงอายุ สาเหตุเกิดจากความเสื่อมของร่างกาย เนื่องจากลิ้นหัวใจเป็นอวัยวะที่เคลื่อนไหวและรับแรงดันจากเลือดตลอดเวลา ดังนั้นจึงเกิดการเสื่อมขึ้น อาจมีหินปูนเกาะที่ลิ้นหัวใจ ทำให้ลิ้นหัวใจหนาขึ้น และเปิดได้น้อยลง ผู้ป่วยจะเกิดอาการเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ใจสั่น ขาบวม ตามมาด้วยหัวใจเต้นผิดจังหวะ เสียงฟู่บริเวณลิ้นหัวใจ จนถึงขั้นเป็นลมหมดสติบ่อยๆ ยิ่งลิ้นหัวใจตีบมาก หัวใจก็ยิ่งไม่สามารถจะบีบเลือดออกสู่ร่างกายได้ ทำให้เกิดภาวะเลือดคั่งและหัวใจล้มเหลวในที่สุด โดยสถิติแล้วเมื่อผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจตีบมีสภาวะหัวใจล้มเหลว จะมีโอกาสเสียชีวิตภายใน 2 ปี สูงถึง 50 %
สำหรับวิธีการรักษานั้น ผศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ แพทย์ประจำสาขาวิชาศัลยศาสตร์หัวใจและ ทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์กล่าวว่า “วิธีรักษาโรคลิ้นหัวตีบที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก คือ การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเป็น การรักษาที่ได้ผลดีเยี่ยม ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตเพียง 1–2 %เท่านั้น อย่างไรก็ตามยังมีผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจตีบจำนวนหนึ่ง ที่ไม่เหมาะกับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เช่น ผู้ป่วยที่มีอายุมากๆ หรือผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดในช่องอกมาก่อน รวมทั้ง ผู้ที่มีโรคประจำตัวหลายโรค ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีโอกาสเสียชีวิตจากการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจได้สูงถึง 20% หรือมากกว่า เป็นเหตุให้ผู้ป่วยหลายรายมักจะไม่ได้รับการส่งต่อไปยังศัลยแพทย์หรือหมอผ่าตัด หรือไม่ก็ถูกปฏิเสธการผ่าตัดไปเสียก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง เพราะหัวใจที่ต้องบีบเลือดผ่านลิ้นหัวใจที่ตีบจะค่อยๆ ล้มเหลว และผู้ป่วยจะเสียชีวิตในที่สุด”
ผศ.นพ.ปรัญญา กล่าวต่อว่าน่ายินดีที่ขณะนี้วิทยาการทางการแพทย์สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยลิ้นหัวใจตีบกลุ่มนี้ให้รอดชีวิตได้ ด้วยการใส่ลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวนเข้าไปแทนที่ลิ้นเดิมที่เสื่อมสภาพโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ซึ่งแตกต่างจากวิธีผ่าตัดที่ใช้กันในปัจจุบันคือ ต้องดมยาสลบ ผ่าตัดเปิดกระดูกหน้าอก แล้วใช้เครื่อง ปอดหัวใจเทียมทำงานแทนหัวใจกับปอด ซึ่งระหว่างที่ศัลยแพทย์ตัดลิ้นหัวใจเก่าออกและเย็บลิ้นหัวใจเทียมเข้าไปแทนที่จะใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง และอยู่โรงพยาบาลพักฟื้นประมาณ 7 – 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นส่วนวิธีการใหม่จะใส่ลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวน โดยจะนำลิ้นหัวใจเทียมแบบใหม่ที่ได้รับการออกแบบให้สามารถหดและขยายตัวได้มาใส่ที่ปลายของสายสวน จากนั้นใช้สายสวนนำลิ้นหัวใจเทียมเข้าไปอยู่ ระหว่างลิ้นหัวใจเดิม แล้วจึงทำการขยายลิ้นหัวใจเทียมด้วยบัลลูนให้ขยายใหญ่ขึ้นคล้ายๆ กับการกางร่มลิ้นหัวใจเทียมที่กางขยายออกจะเข้าไปแทนที่ลิ้นหัวใจเดิมที่เสื่อมสภาพแล้ว ซึ่งวิธีการใส่สายสวนสามารถใส่ผ่านขาหนีบ หรือในกรณีที่เส้นเลือดบริเวณขาหนีบเล็กเกินไป จะใส่ผ่านแผลเล็กที่ชายโครงเข้าไปทางปลายหัวใจ โดยตรง โดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดกระดูกหน้าอก ไม่ต้องใช้เครื่องปอดหัวใจเทียม และไม่ต้องหยุดหัวใจ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น อีกทั้งผู้ป่วยพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสั้นกว่าและฟื้นตัวได้เร็วกว่าด้วย
และสำหรับวิธีใหม่นี้ คณะแพทย์ศิริราชได้ทำการใส่ลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวนในผู้ป่วยไปแล้ว 2 ราย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 นับเป็นผู้ป่วยรายแรกและรายที่สองของประเทศไทย และเป็นรายที่ 14 และ 15 ของเอเชีย ซึ่งขณะนี้มีเพียงประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่นเท่านั้นที่ใช้วิธีนี้ และในเดือนมีนาคม 2553 จะมีผู้ป่วยเข้ารับการใส่ลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวนเพิ่มอีก 3 ราย
อย่างไรก็ตาม แม้การใส่ลิ้นหัวใจเทียมแบบใหม่ผ่านสายสวนจะเป็นวิธีที่ดี แต่ขณะนี้ยังมีราคาแพง ฉะนั้นผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ลิ้นหัวใจแบบใหม่นี้ แต่ไม่สามารถเสียค่าใช้จ่ายได้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ได้จัดตั้ง “กองทุนรักษาลิ้นหัวใจด้วยสายสวนเพื่อผู้ป่วยสูงอายุ” ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาสามารถบริจาคเงินเข้ากองทุนเพื่อนำมาซื้อ ลิ้นหัวใจให้แก่ผู้ป่วยสูงอายุยากไร้ได้ทุกวันที่ ศิริราชมูลนิธิ ตึกมหิดลบำเพ็ญ ชั้น 1 โรงพยาบาลศิริราช โทร. 0 2419 7658 – 60