“สวนเกษตรวิถีพุทธ” พลิกผื่นนาเป็นผื่นป่า
สวนวิถีพุทธ หรือทำการเกษตรไม่รบกวนธรรมชาติ แต่อาศัยธรรมชาติจัดการกันเองเพื่อให้ได้ปัจจัยในการดำรงชีพอย่างพอเพียง ตามแนวคิดการอนุรักษ์พันธุ์ไม้พื้นเมืองใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการบริหารจัดการสวน ทำการเกษตรแบบพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน และเป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชน ประชาชน ชุมชน ตลอดถึงนักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป
นายวิฑูร หนูแสน เกษตรกรวัย 62 ปี หมู่ที่ 9 บ้านป่าพงค์ ต.ตะโหมด อ.ตะโหมด จ.พัทลุง บอกว่า ได้บริหารจัดการที่ดิน ออกเป็นส่วน ๆ หรือ 6 โซนด้วยกัน โดยโซนแรก เป็นระบบเกษตรป่ายาง จำนวน 6 ไร่ ปลูกยางพาราแล้วปล่อยให้มีไม้ยืนต้นขึ้นร่วมกับสวนยาง ได้ผลผลิตจากน้ำยาง สมุนไพร ผักพื้นบ้าน ภายในสวนจะร่มรื่นตลอดปี แม้ในยามหน้าแล้งที่ยางพาราผลัดใบก็ตาม ก็จะมีใบไม้ยืนต้นคอยให้ร่มเงา ใช้เป็นเวทีเรียนรู้ตั้งวงสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
โซนที่ 2 เป็นสวนยางอีก 7 ไร่ ที่ได้ขอทุนสงเคราะห์จากองค์การสวนยาง (สกย.) แต่เมื่อยางหมดอายุกรีดแทนที่จะโค่นไม้ยางขาย และเปิดป่าสร้างสวนยางใหม่ กลับปล่อยให้ธรรมชาติจัดการกันเอง โซนที่ 3 เป็นที่อยู่อาศัย จำนวน 2 ไร่ สร้างบ้านอยู่อาศัยแบบง่าย ๆ ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาวัสดุภายนอกมากนัก บริเวณบ้านปลูกผักสวนครัวไว้บริโภคเอง โซนที่ 4 เป็นนาข้าวที่มีการปรับระบบเป็นนาข้าวควบคู่กับการเลี้ยงปลา เนื้อที่ 9 ไร่ แต่เหลือที่ทำนา 6 ไร่
โดยการปลูกข้าว ไม่มีการไถพรวน เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จก็ปล่อยน้ำให้ท่วมซังข้าวให้ปลาที่อยู่ในคูรอบคันดินนาขึ้นไปกินเมล็ดข้าว พอตอซังเปื่อยดีแล้วก็ปล่อยน้ำออกให้แห้งแล้วหว่านข้าว พอข้าวขึ้นดี ก็ปล่อยน้ำเข้าเลี้ยงต้นข้าวตามระดับ ปลาช่วยกำจัดหนอนและแมลงในนาขี้ปลาเป็นปุ๋ย เพราะนาข้าวไม่มีการใส่ปุ๋ยเคมี และไม่ใช้สารเคมีเลย เก็บข้าวกับแกระแบบดั่งเดิม นาข้าวได้ทั้งข้าวได้ทั้งปลา ข้าวที่ทำได้พอกินตลอดปี ปลาก็มีกินตลอดปีเช่นกัน
โซนที่ 5 เป็นป่าไส จำนวน 8 ไร่ ป่าไสคือป่าที่เคยเปิดป่าแล้ว แต่ปล่อยให้มีต้นไม้ขึ้นมาใหม่ ไม่รกนักและต้นไม้ก็ไม่ใหญ่นัก คล้าย ๆ กับป่าโปร่ง เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ไม้หายาก สมุนไพร ผักพื้นบ้าน เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า นกชนิดต่าง ๆ ไก่ป่า และโซนสุดท้าย คือ โซนเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ 3 ไร่ มีทั้งปลาที่เป็นปลาพื้นเมือง เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอปลาแขยง ปลาแก้มซ้ำ ปลาขี้ขม ปลาโอน และปลาที่ปล่อย มี ปลาตะเพียน ปลายี่สก ปลาแรด นอกจากเลี้ยงปลาแล้ว ยังเป็นแหล่งน้ำไปในตัวด้วย และที่แปลกอีกอย่าง คือ ระบบวนประมง มีการปลูกต้นหว้าริมบ่อ เลี้ยงมดแดงบนต้นหว้า ปลาได้กินไข่มดแดงที่ร่วงเมื่อเก็บไข่มดแดง และเมื่อลูกหว้าร่วงก็เป็นอาหารปลาเช่นกัน
จากการทำการเกษตรที่ปรับสวนยางเป็นป่ายาง นาข้าวไม่ไถพรวน ใช้ความได้เปรียบของทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพบริการจัดการโดยพึ่งพาตนเอง อยู่ได้อย่างมีความสุข
ที่มา :นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันที่ 2 มีนาคม 2553