Select Page

จุดประกายคิดบวกกับผู้หญิงคิดบวกแห่งปี54 “ พรวรินทร์ นุตราวงค์ พยาบาลผู้อารีกับอ้อมกอดที่ยิ่งใหญ่ ”

จุดประกายคิดบวกกับผู้หญิงคิดบวกแห่งปี54 “ พรวรินทร์  นุตราวงค์ พยาบาลผู้อารีกับอ้อมกอดที่ยิ่งใหญ่ ”

ทุกวันนี้สังคมเต็มไปด้วยความวุ่นวายสารพัดไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมหรือการเมือง สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้จิตใจผู้คนหดหู่ ไม่มีความสุขและท้อถอย

เรื่อง : วิรงรอง พรมมี

ภาพ : พงษ์พันธ์ พวงพิลา



 ถือเป็นโอกาสดีที่เครื่องสำอางค์ BSC Cosmetology รณรงค์ให้ผู้หญิงคิดบวกยิ่งสวยขึ้น ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่4แล้ว โดยเป็นการจุดประกายความคิดบวกในสังคม เพื่อสังคมไทยจะได้มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น พร้อมจัดพิธีมอบรางวัล “Think Positive Women Awards 2011” รางวัลอันทรงเกียรติที่จะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ผู้หญิงคิดบวกทุกท่านได้จุดประกายความคิดบวกในสังคมต่อไป ซึ่งปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลทั้งหมด9 คน ได้แก่ อ.เรียม สิงห์ทร (โรงเรียนบ้านขอบด้ง จ.เชียงใหม่),ดร.เกล้าสรวง สุพงษ์ธร (กรรมการผู้จัดการคีรีมนตรา รีสอร์ท หัวหิน),คุณชัญญา เศรษฐบุตร (อาสาสมัครนักธรรมชาติบำบัด),คุณนิรมล เมธีสุวกุล (ผู้บริหาร บริษัทป่าใหญ่ ครีเอชั่น จำกัด),คุณสายสวรรค์ ขยันยิ่ง (ผู้ประกาศข่าว “เที่ยงวันทันเหตุการณ์ ช่อง3”),คุณภัทราพร สังข์พวงทอง (โปรดิวเซอร์และผู้ดำเนินรายการ “กบนอกกะลา”),คุณภัทริกา จุลโมกข์ (ผู้เชี่ยวชาญด้านการปกป้องคุ้มครองเด็ก),คุณคะนึงนิจ จักรสมิทธานนท์ (ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์)     และคุณพรวรินทร์  นุตราวงค์ (พยาบาลคณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร) ซึ่งได้แจ้งเกิดในเวทีนี้เลยทีเดียว พี่แอ้ หรือคุณพรวรินทร์ นุตราวงค์เป็นพยาบาลแต่ไม่ได้ดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยตามหน้าที่เท่านั้น แต่ทำด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตาตลอดเวลากว่า 30 ปีของการเป็นพยาบาลวิชาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติมเต็มความฝันให้แก่ผู้ป่วยระยะสุดท้าย รวมทั้งดูแลจิตใจของครอบครัวผู้ป่วยให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้อย่างมีสติ ปัจจุบันเธอยังคงมุ่งมั่นทำงานนี้ด้วยหัวใจเล็กๆที่เปี่ยมไปด้วยพลังในการมอบความปรารถนาดีให้แก่ผู้คนทั่วไป ดิฉันเล็งเห็นมุมมองดีๆในการดำเนินชีวิตของท่านจึงเก็บข้อคิดมาฝากค่ะ


คุณพรวรินทร์  นุตราวงค์ หรือพี่แอ้ พยาบาลคณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร กล่าวกับดิฉันว่าอุดมการณ์ในการทำงานของพี่แอ้คือ “Here&Now”หมายถึงที่นี่และเวลานี้ จะไม่ไปมองถึงว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ ณ เวลานี้ถ้าเขาทุกข์อยู่ตอนนี้ต้องช่วยเวลานี้ ไม่ใช่ว่าทุกข์ตอนนี้แล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะมา ไม่ใช่ มันต้องเวลานี้เท่านั้น เวลารู้สึกไม่สบายใจบางครั้งจะต้องมองคนที่เขาแย่กว่าเราเยอะๆ อย่างน้อยถ้าพี่เจอคนไข้ที่เป็นมะเร็ง พี่ก็จะบอกว่า คุณโชคดีมากนะที่เป็นมะเร็งดีกว่าเป็นเอดส์ โรคเอดส์คนรังเกียจด้วยนะแต่มะเร็งคนยังสงสาร แต่ถ้าเจอคนโรคเป็นเอดส์ พี่ก็จะบอกว่า คุณโชคดีมากเลยที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ อุบัติเหตุนี่ไปเลยนะไม่อยู่ถึงวันนี้ เพราะฉะนั้นต้องมองคนที่แย่กว่าเรา และพี่ก็บอกคนป่วยของพี่ทุกคนว่าคุณโชคดีแล้วนะ บางคนป่วยไม่สามารถเดินได้ ไม่สามารถลงไปไหนได้ แต่คุณยังไปได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังมัวทดท้อ ท้อถอยอยู่ หมดแรงอยู่ คุณก็จะหมดเลย ชีวิตคุณก็ไม่เหลืออะไร เพราะฉะนั้นลุกขึ้นสู้ให้ได้ ลุกขึ้นทันที การกอดที่พี่ทำไม่ใช่การรักษาโรคแต่เป็นการให้กำลังใจ เป็นพลัง คนเราถ้าเกิดใจล้มกายก็ล้มด้วย เพราะฉะนั้นใจต้องไม่ล้ม การกอดเป็นพลัง ใจสู่ใจ  เป็นสัมผัสที่ถ้าใครไม่ทำจะไม่รู้เลยว่าคำว่าใจสู่ใจคืออะไร เพราะฉะนั้นให้ลองกอดดู เริ่มจากกอดคนใกล้ตัว เช่น กอดลูกถ้าแม่ป่วย แล้วถามลูกว่าเป็นยังไง เขาบอก อ๋อ! ดีครับ งั้นก็ไปกอดแม่สิ ฉะนั้นจะต้องทดลองกอด เพราะการกอดไม่ใช่เรื่องของคนไทยแต่การกอดนั้นต้องฝึกสำหรับคนไทย ในช่วงที่ทุกข์ที่สุดพี่ก็ทุกข์มากนะ อย่างเช่นตอนสามีป่วยพี่ก็ทุกข์สุดๆ ร้องไห้2 เดือนเต็มๆ ร้องไม่มีหยุดเลย มองหน้าลูกก็เห็นความตายแค่เอื้อม เห็นหน้าสามีก็เห็นว่าอีกหน่อยเขาก็ตายแล้ว คือพี่คิดอย่างนั้นจริงๆ แต่พอเราฮึดขึ้นสู้ ฮึดขึ้นสู้ ใจเราสู้ปุ๊บมันจะเป็นพลังเลยนะ เป็นไงเป็นกัน สู้โว้ยๆทุกวัน จากนั้นมาก็เลยใช้ตรงนี้กับคนไข้เลย หากถามว่าได้อะไรจากการให้ผู้อื่น พี่ก็คงบอกว่า แค่เห็นรอยยิ้มของเขา ยิ่งทำให้เรารู้ว่าเขาเริ่มสู้ได้แล้วนะ นั่นคือความสุขที่สุด จะบอกเขาว่าคุณสู้ได้อย่างนี้พี่ก็ดีใจ แล้วเราไปช่วยคนต่อไปนะ เราจะเอาพลังที่คุณมีอยู่ตอนนี้ไปช่วยคนต่อไปด้วยกัน เคล็ดลับความสุขในทุกวันของพี่คือ เมื่อเห็นคนที่ทุกข์มีรอยยิ้มนั่นคือความสุข คนที่นอนป่วยมะเร็ง คนที่ร้องไห้อยู่ เราไปบอกเขาว่าไม่ต้องกลัวนะ แอ้อยู่ด้วยนะ ไม่ต้องกลัว เราสู้ด้วยกัน ด้วยกันนะ ถ้าเป็นยังไง ก็เป็นไงเป็นกัน เราสู้ด้วยกันนะ เมื่อสังเกตจากสายตาเขา จะเห็นว่ามีแววขึ้นมาทันที นี่คือผลที่พี่ได้รับ การทำเพื่อคนอื่นส่งผลให้ชีวิตมีความสุขมากกว่าเดิม ยิ่งให้ยิ่งได้ เหมือนพี่เก็บเงินใต้ฐานพระนี่นะคะ พี่อาจจะเก็บแค่ครั้งละพัน สองพัน แต่เงินใต้ฐานพระไม่เคยหมด ยิ่งเอาออกมาใช้ ก็ยิ่งมีใส่เข้าไปตลอดเวลา สุดท้ายกำลังใจที่จะฝากถึงคนที่กำลังสิ้นหวังท้อแท้คือจะบอกว่า ถ้าคุณหมดกำลังใจ ให้เวลาหมดกำลังใจสักวันสองวันพอนะ อย่าหมดตลอดชีวิต หมดแล้วต้องลุกให้ได้ สู้ให้ได้ รวบรวมกำลังใจให้ได้ คนอื่นที่บอกว่าให้กำลังใจๆ นั่นตัวคนอื่น แต่ตัวเราต้องรวบรวมกำลังใจให้ได้ด้วยตัวเราเอง ฮึดขึ้นมาให้ได้ แล้วจะรู้ว่ามันผ่านได้สบาย ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว


สิ่งพิเศษที่พี่แอ้นำมาฝากบรรดาคนคิดบวกในวันนี้คือพ็อกเก็ตบุ๊คที่มีชื่อว่า “หัวใจเล็กๆกับ    ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่” ซึ่งพี่แอ้เป็นผู้เขียนเองและสำนักพิมพ์บันลือเป็นผู้จัดพิมพ์ โดยหนังสือเล่มนี้จะ  บอกเล่าเรื่องราวการทำงานของพี่แอ้ ความปิติที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น รวมถึงแง่คิดดีๆที่อยากเล่าสู่กัน  ฟังนอกจากนั้นหนังสือเล่มนี้ยังได้ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้ายอีกด้วย หากผู้ใดมี  ความประสงค์จะสมทบทุนก็บริจาคได้ที่ มูลนิธิวชิรพยาบาลเพื่อกองทุนการดูแลผู้ป่วยแบบประคับ  ประคองและผู้ป่วยระยะสุดท้าย โทร.     0-2244-3780 หรือหากสนใจจะเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยดูแล  ให้กำลังใจผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ติดต่อโทร.0-2244-3084 พลังเล็กๆในตัวทุกคนจะหล่อหลอม  เป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ให้เขาเหล่านั้นนะคะ

About The Author

aof

Leave a reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.