Select Page

“ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ :ตัวจริงในวงการยานยนต์ กับมุมของสะสมบนสวนดาดฟ้า”

“ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ :ตัวจริงในวงการยานยนต์ กับมุมของสะสมบนสวนดาดฟ้า”

guide-posting
สุภาพบุรุษมาดเท่ ในวัย 61 ปีที่ดิฉันได้รับเกียรติสัมภาษณ์ฉบับนี้ เป็นประธานบริษัทสื่อสากล จำกัด เจ้าของนิตยสารสื่อชื่อดัง และผู้จัดงานแสดงยานยนต์ที่ใหญ่อันดับ 3 ของเอเชีย ใช่แล้วล่ะค่ะ คุณขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ที่วงการรถยนต์รู้จักกันดี
บริษัทสื่อสากลที่คุณขวัญชัยสร้างขึ้นนั้นมีผลงานมากมายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนิตยสารรายเดือนอย่าง “ฟอร์มูลา” ที่นำเสนอเรื่องรถยนต์ทั่วไป “CAR STEREO” นิตยสารเครื่องเสียงรถยนต์ หรือ “4 WHEELS” นิตยสารรถขับเคลื่อนสี่ล้อฉบับแรกในเมืองไทย รวมถึงนิตยสารรายปี “โลกรถยนต์” ที่รวบรวมข้อมูลรถยนต์ในรอบปี นอกจากนี้มีรายการทีวีทุกวันเสาร์ทางเนชั่นแชนแนล และตอกย้ำความยิ่งใหญ่ในวงการ ด้วยการจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โปทุกปีต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 25 แล้ว ซึ่ง 10 ปีหลังนี้จัดขึ้นที่เมืองทองธานี เริ่มจากพื้นที่หมื่นกว่าตารางเมตร จนถึง 8 หมื่น 5 พันตารางเมตร ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเทศกาลประจำปีที่อยู่ในปฏิทินของคนที่ต้องการซื้อรถ เพราะงานนี้ทั้งโชว์รถและขายรถ ตอบสนองพฤติกรรมคนไทยที่เมื่อชอบแล้วก็อยากจะเป็นเจ้าของทันที ผิดกับงานอื่นที่ไปดูอย่างเดียว

ในช่วงที่สถานการณ์การเมืองวุ่นวายไม่รู้จบ และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกเข้ายึดทำเนียบเป็นเวลานาน คุณขวัญชัยก็สะท้อนผลกระทบที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ดิฉันฟังในฐานะที่ผ่านประสบการณ์มาหลายยุค ตั้งแต่ 14 ตุลา 6 ตุลา มาจนคราวนี้ การประท้วงมีรูปแบบที่พัฒนาขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ควรจบให้เร็ว เพราะยิ่งยาวก็ยิ่งยุ่ง นอกจากการเมืองแล้วยังมีเรื่องของฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวด้วย เพราะหน้าฝนจะขายรถได้น้อย รวมๆแล้วพอถึงสิ้นปี ถ้าเรื่องการเมืองยังยุ่งๆ อยู่ ยอดขายรถอาจถึงกับติดลบ และกระทบถึงสื่อเกี่ยวกับรถด้วย
“…สื่อแม็กกาซีนปีนี้(2551)ไม่ค่อยดีเท่าไร ประชาชนไม่มีจิตใจที่จะอ่านหนังสืออะไรเท่าไร ยอดโฆษณาของเราตั้งแต่ต้นปีติดลบประมาณ 5-7% พวกเราตื่นตัวกันมาตั้งแต่ต้นปี พยายามรวมตัวกัน พยายามลดหน้าลง หนังสือบางลงนิดหน่อย นสพ.บางฉบับก็ลดขนาด คือสื่อเองพยายามปรับตัวแล้ว แต่มันก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไร..”
นอกจากสถานการณ์ต่างๆแล้ว การเปลี่ยนนโยบายบ่อยๆ ของรัฐบาลก็เป็นผลเสียต่อวงการยานยนต์ค่ะ คุณขวัญชัยเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายปีก่อนเราเคยมีนโยบายรถยนต์แห่งชาติ โดยการสนับสนุนให้ใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น จาก 10% เป็น 20% สุดท้ายไปหยุดที่ 50กว่าเปอร์เซ็นต์ เพราะยิ่งบังคับใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตเองมากขึ้นไปอีก ท้ายที่สุดจะทำให้เราได้ใช้ของแพงแต่คุณภาพไม่ดี ราคารถยนต์ที่ผลิตในประเทศก็จะสู้ราคารถนำเข้าไม่ไหว รัฐบาลจึงเลิกบังคับโรงงานที่เกือบจะเลิกกิจการกันไปก็กลับแข็งแรงขึ้น
พอมาถึงยุคนี้ก็มีเรื่องน้ำมัน รัฐบาลเพิ่งจะสนับสนุนให้ผลิต อี 20 ได้แป๊ปเดียว ก็เปลี่ยนเป็นผลักดัน อี 85 แล้ว เชิญชวนบริษัทรถยนต์ให้ผลิตรถที่ใช้ อี 85 บอกบ้านเรามีอี 85 ใช้แล้ว คนก็จะหันไปซื้อ อี 85 กันหมด เพราะได้สิทธิประโยชน์เรื่องภาษีอีก และจะใช้น้ำมันอี 20 ก็ได้อีก เพราะฉะนั้นที่ลงทุนอี 20 ไปก็จะล่ม เรื่องก๊าซแอลพีจีก็เช่นกัน อุดหนุนราคาไว้ให้ถูก แต่พอน้ำมันแพง คนก็หันไปใช้มาก รัฐก็จะปล่อยให้แพงขึ้นโดยเลิกอุดหนุนแอลพีจี แล้วหันไปเชียร์ซีเอ็นจี(บ้านเราเรียกเอ็นจีวี) ปั๊มก็มีน้อยอีก ต้องไปจอดรอกันแถวยาวเหยียด อย่างนี้เป็นนโยบายที่ไม่รอบคอบ “..ผมอยู่ในวงการนี้มา 40 ปีละ ขอเรียกร้องแทนคนในวงการเลยว่า รัฐบาลเมื่อมีนโยบายอะไรออกมาแล้วก็อย่าไปยุ่ง นักธุรกิจเขาจะทำของเขาเอง ปล่อยให้กลไกต่างๆ มันเดินไปแล้วสัก 5 ปี 10 ปีค่อยกลับมาดูสักทีหนึ่งว่า อัตราภาษีเป็นอย่างไร ต้องลดต้องเพิ่มอะไรก็ช่วยดูแล ตรงนั้นจะทำให้นักธุรกิจมีกำลังใจ แผนก็ชัด รู้ว่าจะเดินไปทางไหน…”DSCF2555
เมื่อถามถึงรถอีโคคาร์ ทางเลือกในยุคน้ำมันแพง ซึ่งดิฉันสงสัยว่าหากมีรถเพิ่มขึ้น แต่ถนนมีเท่าเดิม และพฤติกรรมการขับรถของคนไทยยังเหมือนเดิม มันจะช่วยบรรเทาหรือซ้ำเติมปัญหากันแน่?
คุณขวัญชัยอธิบายว่า “…อีโคคาร์นี่เป็นทางเลือกที่ดี เพราะมีถึง 6 ยี่ห้อให้เลือก เขาทำส่งขายได้ทั่วโลก ด้วยคุณสมบัติที่กินน้ำมันไม่เกิน 20 กม./ลิตร ที่ยุโรปก็โอเคเลย พอออกมาแล้วจะต้องแย่งตลาดรถบางประเภทเช่นรถกระบะ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 65% อีก 35% เป็นรถเก๋ง ซึ่งในเก๋งก็แตกออกไปอีก ในกระบะส่วนหนึ่งเป็นความต้องการเทียม ซื้อรถกระบะมาแทนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเพราะราคาถูก ต่อไปนี้จะมีรถยนต์นั่งราคาถูกของจริงออกมา คนที่ซื้อรถกระบะก็จะหันมาซื้ออีโคคาร์แทน ทีนี้พอรถออกมามากจะเอาถนนที่ไหนวิ่ง จริงๆ แล้วต้องคิดตั้งแต่ต้น ที่จริงภาษีรถยนต์ที่รัฐเก็บได้แต่ละปีเยอะมากนะ ไม่รู้กี่แสนล้าน เกือบจะเรียกว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ในระบบภาษีภาครัฐ เฉลี่ยราคาขายรถ 300 บาทเป็นค่ารถจริงแค่ 100 บาท อีก 200 บาทคือภาษี ซื้อรถคันหนึ่งได้ฟรีอีก 1-2 คันเลย แต่รีเทิร์นกลับสู่วงการนี้ไม่ว่าจะไปสร้างถนนหนทาง หรือขนส่งมวลชนนั้น สักกี่เปอร์เซ็นต์ น้อยมาก!รัฐเอางบอันนี้ไปใช้อย่างอื่นอีลุ่ยฉุยแฉกหมด กฎหมายไม่ได้ระบุไว้ก็จริง แต่ผู้บริหารประเทศควรคิด ว่าเก็บภาษีมาจากวงไหนก็ควรคืนกลับไปใช้ประโยชน์ในวงนั้นก่อน เหลือเท่าไรก็ค่อยไปใช้อย่างอื่น ลองคิดดูว่าขายรถได้เยอะ เก็บภาษีได้เยอะ รถออกมาวิ่งบนท้องถนนเยอะก็บอกว่ารถเยอะ ก็ถ้ารถน้อยก็เก็บภาษีได้น้อยนะ แล้วมันจะเอาเงินที่ไหนไปอีลุ่ยฉุยแฉก ผมว่ามันไม่ถูกต้อง จึงหวังว่าต้องรีเทิร์นภาษีรถยนต์กลับมาให้เราบ้าง…”
“..ส่วนการขับรถของคนไทยก็ต้องดูว่าใบขับขี่นั้นได้มาง่ายเกินไปหรือเปล่า ควรอบรมกันอย่างเข้มข้น เพื่อให้ขับรถได้ถูกต้องและอบรมเรื่องมารยาทบนท้องถนนด้วย พวกไม่ชอบต่อคิวแต่แซงไปปาดเข้าตรงคอสะพานหรือทางคอขวดทั้งหลายนี่แย่ แต่บางทีตำรวจก็ปล่อยให้ไปก่อน คนที่ขับต่อคิวกันมากลับต้องรอ อย่างนี้ตำรวจก็ไม่เข้าท่า พวกที่ขับรถช้าแต่อยู่ในเลนขวาสุดซึ่งมีไว้สำหรับรถเร็วขับแซงนั้นก็ไม่ถูก แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ ก็บังอยู่อย่างนั้น ทำให้คนเขาต้องแซงทางซ้ายซึ่งอันตราย และแนวคิดว่าขับรถไม่เกิน 90 กม./ชั่วโมงนั้นก็ต้องบอกให้อยู่ในเลนที่ถูกต้อง รู้จักหลบให้คนอื่นเขาแซงได้ด้วย …”
ถามถึงรถที่คุณขวัญชัยใช้อยู่บ้าง
“..ผมใช้ประจำอยู่ 2 คันจากที่มีทั้งหมดหลายคัน คือ BMW ซีรี่ย์ 7 ในวันธรรมดา ไปธุระที่ไหนก็นั่งสบาย ไม่ค่อยขับเองเท่าไร นั่งสบายๆ จะได้ไม่หงุดหงิด อีกคันซื้อมาไม่นานคือมิตซูบิชิ ปาเจโร่ 3 ประตู ไว้ใช้เสาร์-อาทิตย์ ปกติไปต่างจังหวัดเดือนละ 2-3ครั้ง เพราะต้องไปทดสอบรถทำรายการทีวี เส้นทางที่ไปบ่อยคือพัทยา จ.ชลบุรี ขับรถออกต่างจังหวัดสบายใจกว่านะ และผมชอบขับรถกลางคืน ปลอดโปร่งดี รถก็น้อย อากาศเย็นๆ คนขับรถก็ใจเย็นไม่หงุดหงิดง่ายเหมือนตอนกลางวัน..”
คุยกับนายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทยทั้งที ถ้าไม่ถามถึงรถโบราณเลยดิฉันคงสอบตก
“รถโบราณ มี 3 คัน คือ BMW 503 คูเป้ คันนี้ภูมิใจมากเพราะเป็นคันเดียวในเอเชียที่เหลืออยู่ รถรุ่นนี้เขาผลิตแค่ 412 คัน เมื่อปี 1956 ยุคหลังสงคราม ญี่ปุ่นยังจนอยู่ ยุโรปก็เหมือนกัน เยอรมันก็แพ้สงคราม รถรุ่นนี้จึงส่งไปขายที่อเมริกา ผมรู้มาว่าเหลืออยู่ในอเมริกาประมาณ 50 คัน ต่อมามีชาวเยอรมันคนหนึ่งมาพบผมที่งานแสดงรถโบราณที่หัวหิน เขามาเดินวนเวียนรอบรถผมเป็นนานสองนานแล้วก็ไปเที่ยวถามหาเจ้าของ พอรู้ว่าเป็นผมเขาก็ขอจับมือใหญ่เลย เขาบอกว่าเดินทางไปมาระหว่างไทย-เยอรมัน เคยเห็นรถผมในเว็บไซต์และรู้ว่าจะมาโชว์ที่หัวหิน เขานั่งรถตามมาดูเลย คิดในใจว่าเป็นรถปลอม แต่พอมาเห็นปุ๊บก็บอกขอต้อนรับผมเข้าสู่ “คลับ 8 สูบ อลูมินั่ม” คือเยอรมันเขาเป็นศูนย์กลางในยุโรป และเหลือรถรุ่นนี้ทั่วยุโรปแค่ 34 คัน เลยอยากให้ผมเข้าเป็นสมาชิกคลับนี้ด้วย ผมก็ยินดีมาก รถคันโปรดนี้ เสาร์-อาทิตย์ก็พาขับออกกำลังบ้างสัก 50 กม….
คันที่สองเป็นรถออสติน 7 เปรียบเหมือนรถมินิในสมัยปี 1929 เป็นรุ่นคุณปู่เรา บูรณะเสร็จแล้ว ไม่ใช้งานประจำ แต่ปีหนึ่งต้องเอาไปขับ 2-3 ครั้งเวลามีงาน อีกคันหนึ่งเป็นรถอังกฤษเหมือนกัน คือแลนเชสเตอร์ ผลิตในระหว่างปี 1955-1959 แล้วก็เลิกเลย จึงมีน้อยคัน กำลังบูรณะอยู่..”DSCF2563
“…คนที่อยากเล่นรถโบราณนั้นต้องมีเวลา เพราะรถโบราณส่วนใหญ่จะซื้อมาเป็นซาก ถ้าไม่มีเวลาดูแลมันก็จะปล่อยผุพังทิ้งไว้หลังบ้าน ถ้าเราใส่ใจที่จะบูรณะมัน ไปหาคนที่เชี่ยวชาญ ทำโน่นทำนี่ อะไหล่ไม่มีก็หาข้อมูลจากเว็บไซต์ ก็จะชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่ แล้วพอชุบชีวิตขึ้นมาแล้วมันจะพิเศษกว่าของโบราณอย่างอื่นๆ ที่ได้แต่ตั้งโชว์อยู่ที่บ้าน แต่รถโบราณเนี่ยมันวิ่งได้ จับต้องได้ ไปไหนคนก็สนใจมาชื่นชม เราก็ภูมิใจ นอกจากมีเวลาแล้วต้องมีเงินหน่อย เพราะบางอย่างต้องลงทุน อะไหล่บ้านเราไม่มีก็บินไปซื้อเมืองนอก…” คุณขวัญชัยเล่าเรื่องรถโบราณอย่างมีความสุข
ในวัย 61 ปี คุณขวัญชัยบอกว่าเตรียมวางมือในวัย 63 ค่ะ ตอนนี้จึงพยายามมอบหมายงานให้ลูกและพวกมืออาชีพเขาได้แสดงฝีมือกันบ้าง “…ชีวิตเราใช้มา 60 ปี เรียน 20 ทำงานมา 40 ก็เยอะแล้ว ดังนั้นชีวิตที่เหลือซึ่งเรายังแข็งแรง เดินเหินสะดวก ขับรถได้ ยังพอปีนเขาได้ ก็ควรจะใช้ให้คุ้มค่า ถึงแม้ไม่รวยมากมายแต่ถ้าใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย กินวัน 3 มิ้อนี่มันจะใช้เงินสักแค่ไหนเชียว ก็คิดว่าจะค่อยๆ ถอนตัวจากงานไป…”
ถึงแม้จะเตรียมวางมือจากงานแล้วคุณขวัญชัยก็ไม่เหงาแน่นอนค่ะ เพราะมีงานอดิเรกสนุกๆ ทำอยู่ตลอดเวลา ทั้งสะสมของรักและการเล่นดนตรีกับเพื่อนนักดนตรีสมัยหนุ่มๆ ของสะสมอย่างแรกคือม้าที่คุณขวัญชัยบอกว่ารักม้าเพราะมันคล้ายกับรถ ที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว และสง่างาม
DSCF2635“…ม้า 12 ตัวสลักจากหินนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมม้า ตอนนั้นไปเห็นเข้าที่เมืองจีน คิดว่าราคาคงเป็นแสน แต่ถามดูปรากฏว่าราคาสามหมื่นห้า เพื่อนช่วยต่อเล่นๆ สามหมื่นเขาก็ให้ เลยซื้อมา หนักเกือบ 20 กก. ยกแทบไม่ขึ้น น้องๆ นักแข่งรถที่ไปด้วยกันก็ช่วยขน ปรากฎว่าแพ็คมาไม่ดีเวลายกมันก็ขยับไปมาอยู่ในกล่อง พอมาถึงบ้านแกะดูพบว่ามันหักออกเป็น 3 ท่อน ใจเสียเลย ลูกชายก็ช่วยหยอดกาวให้ ช่วยกันสองพ่อลูกจนต่อกันค่อนข้างแนบเนียน เลยกลายเป็นเรื่องที่ผูกพัน และเริ่มสะสมม้าตั้งแต่นั้นมา ใครไปไหนเห็นม้าสวยๆ แปลกๆ ก็ซื้อมาฝากผม…”
“…ของสะสมอีกอย่างคือ ไปป์ ไปไหนก็ซื้อ เพื่อนซื้อมาฝากบ้างซื้อเองบ้างจนมีเกือบ 300 อันแล้ว บางอันก็ซื้อมาซ้ำเพราะจำไม่ได้ว่ามีแล้ว…”DSCF2582

สุดท้ายก็คือดนตรีที่คุณขวัญชัยเล่าความหลังให้ฟังว่า “…ผมเป็นมือกีตาร์นะ สมัยก่อนเล่นเป็นอาชีพตามบาร์เลย ได้เงินเดือนละหมื่นกว่าบาท ต่อมาไปเรียนเมืองนอก กลับมาได้เงินเดือนแค่สี่พัน เพื่อนก็ชวนไปเล่นดนตรีอีกรอบ ทางครอบครัวผมเห็นท่าว่าจะกู่ไม่กลับแล้วก็เลยให้สอบชิงทุนไปเรียนต่อเมืองนอกอีกรอบ คราวนี้เลยเลิกเล่นดนตรีไปจริงๆ แต่พอกลับมาเจอเพื่อนก็ชวนกันมารวมวง ผมก็ทำห้องซ้อมดนตรีเล็กๆ เล่นกันสนุกๆ ซึ่งผมเล่นดนตรีตามเขาไม่ทันแล้วเพราะระหว่างที่ผมไปเรียนเมืองนอกเขาก็เล่นดนตรีอาชีพตลอด ผมเลยต้องผันตัวมาเป็นนักร้องเสียเป็นส่วนใหญ่ เล่นดนตรีได้บางยุคเท่านั้น..”

DSCF2660เรียกว่าเป็นชีวิตที่มีความสุขจริงๆค่ะ ทั้งงานสื่อที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง งานแสดงยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ รวมทั้งงานอดิเรกที่แสนสนุกและมีคุณค่า ของสุภาพบุรุษตัวจริงคนหนึ่งในวงการยานยนต์เมืองไทย ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์@
……………………………………………………………………………………………………………

About The Author

Leave a reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.